วันพฤหัสบดีที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2555

Rock(ร็อค)

เมื่อปี ค.ศ.1955 ร็อคแอนด์โรลล์ (Rock 'n' Roll) ทำให้โลกดนตรีมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ โดยเกิดดนตรีรูปแบบใหม่ ซึ่งมีเนื้อหาทั้งหวาน ทั้งร้อนแรง โศกเศร้า จริงใจ เปิดเผย ผสมผสานกันด้วยความรุนแรง เร่าร้อน ดุดัน แต่บางขณะกลับอ่อนหวานเกินคาดเดา Rock 'n' Roll
เมื่อ Bill Haley and his Comets นำเพลง (We're Gonna) Rock Around the Clock ขึ้นอันดับ 1 ในบิลล์บอร์ดชาร์ท เมื่อวันที่ 9 ก.ค.1955 และอยู่ในตำแหน่งนั้นนานถึง 8 สัปดาห์ติดต่อกัน ดนตรี ร็อคแอนด์โรลล์ (Rock 'n' Roll) ได้เกิดขึ้นแล้ว Chuck Berry, Little Richar, Fats Domino, Bo Diddley, Ray Charles เป็นศิลปินผิวดำที่ร่วมสร้างดนตรีร็อคแอนด์โรลล์ขึ้นมาเมื่อกลางทศวรรษ ที่ 50 ด้วยเพลงร็อคดีๆมากมาย แต่ดูเหมือนร็อคแอนด์โรลล์จะขาดอะไรไปบางอย่าง



Chuck Berry




Bo Diddley 

จนมาถึงยุคของหนุ่มนักร้องผิวขาวที่ชื่อ เอลวิส เพรสลีย์ (Elvis Presley) ต้นปี 1956 เอลวิส ในวัย 21 กับเพลง Heartbreak Hotel ที่ขึ้นอันดับ 1 ก็โด่งดังไปทั่วโลกอย่างรวดเร็ว เอลวิสมีเพลงฮิตหลายเพลงในปีนั้นเช่น Blue Suede Shoes, I Want You I Need You I Love You, Hound Dog, Don't Be Cruel, Love Me, Anyway You Want Me และ Love Me Tender ส่งผลให้เขากลายเป็นราชาร็อคแอนด์โรลล์ไปในทันที Carl Perkins, Jerry Lee Lewis, Buddy Holly, Gene Vincent, The Everly Brothers, Ricky Nelson, Roy Orbison เป็นศิลปินรุ่นต่อมาที่ได้ร่วมสร้างดนตรี ร็อคแอนด์โรลล์ให้รุ่งเรืองขึ้น

Elvis Presley

Buddy Holly 

ดนตรี ร็อคแอนด์โรลล์ เกิดจากส่วนผสมของดนตรีหลายอย่างที่มีอยู่ก่อนหน้านั้น เช่น Country, Gospel, Blues และ Rhythm and Blues แต่ก็ต้องขอบคุณต่อเสน่ห์ของเอลวิส ที่ทำให้ร็อคแอนด์โรลล์โด่งดังและเติบโต มาได้ถึงทุกวันนี้ แต่แล้ว เมื่อต้นทศวรรษที่ 60 ดนตรี ร็อคแอนด์โรลล์ เกือบจะพบจุดจบ เพราะความคลั่งไคล้ในร็อคแอนด์โรลล์ ก่อให้เกิดการเลียนแบบอย่างไร้สาระ ถึงแม้จะมีศิลปินเกิดใหม่มากมาย แต่ก็ไม่ได้มีการพัฒนาอย่างจริงจัง คราวนี้ร็อคแอนด์โรลล์ต้องขอบคุณต่อหนุ่มชาวอังกฤษ 4 คน ในนามของ The Beatles British Invasion

บริทิช อินเวชั่น (Britiah Invasion) เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อปี 1964 โดยคณะนักดนตรีจากอังกฤษจำนวนมากมาย นำรูปลักษณ์ และบทเพลงใหม่ๆ ออกท้าทายวงการร็อคแอนด์โรลล์ มันกลายเป็นการพัฒนาดนตรีร็อคครั้งยิ่งใหญ่ที่สุด หลังจากเอลวิส เพรสลีย์ และนักดนตรีชาวอเมริกันหลายคนสร้างขึ้นมา แม้พวกเขาจะเป็นเพียงหนุ่มวัยรุ่น 4 คน ที่เกิดมาในครอบครัวของชนชั้นกรรมาชีพจากเมืองลิเวอร์พูล ประเทศอังกฤษ แต่เมื่อได้รวมตัวกันในนามของ The Beatles และสร้างผลงานเพลงขึ้นมา พวกเขาก็ไม่ใช่แค่วงดนตรีธรรมดา

เดอะ บีเทิลส์ ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงหลายสิ่งหลายอย่าง ไม่ใช่เพียงแค่ในวงการดนตรี แต่ยังหมายถึง แฟชั่น วัฒนธรรม ศิลปทุกแขนง ไปจนถึงการเมือง อิทธิพลของพวกเขาไม่ใช่แค ทรงผม ท่าทาง เสื้อผ้า หรือรองเท้าเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงแนวความคิด วิถีชีวิต และความเป็นอยู่ของคนรุ่นใหม่อย่างที่ไม่มีใครคาดคิดมาก่อน ว่าจะมีสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น

The Beatles 


มีกลุ่มนักดนตรีจากอังกฤษจำนวนมากมาย ที่ร่วมขบวนการมากับเดอะ บีเทิลส์ แต่ที่ได้รับความนิยมมาถึงปัจจุบันได้แก่ The Rolling Stones, The Kinks และ The Who รวมทั้งที่กลายเป็น ศิลปินเดี่ยวที่มีชื่อเสียง เช่น Jeff Beck, Steve Winwood, Van Morrison และ Eric Clapton ในขณะที่ British Invasion กำลังครอบครองวงการร็อคแอนด์โรลล์และวงการ พ็อพ (Pop) อย่างหนักนี้ ดนตรีอเมริกันเจ้าของเพลงร็อคแอนด์โรลล์ ก็เริ่มการโต้ตอบ กลับโดยดนตรี ริธึมแอนด์บลูส์ ( Rythm and Blues) ซึ่งเริ่มพัฒนามาเป็นเพลงร็อคเต็มตัว เช่นเพลงทั้งหมดจาก Motown ที่ ภายหลังถูกเรียกว่า เพลงโซล (Soul) อีกส่วนหนึ่งมาจากดนตรีของ The Beach Boys และที่สำคัญที่สุด มาจากนักร้องนักแต่งเพลงโฟล์คที่ชื่อ Bob Dylan แต่การต่อสู้ที่เข้มข้นบนอันดับเพลงในช่วงนี้ กลับเป็นการพัฒนาดนตรีร็อค ครั้งสำคัญที่สุด มันทำให้เพลงร็อคมีคุณค่าและเป็นที่ยอมรับของสังคมทั่วไป


Psychedelicปี 1967 วงการร็อคพัฒนาตัวเองไปอีกก้าวใหญ่ ถึงแม้ความจริง มันจะเป็นยุคแห่งความยุ่งยากทางการเมือง ยุคแห่งการเรียกร้องสันติภาพ ยุคแห่งการเติบโตของยาเสพติด แต่กลับกลายเป็นพลังให้ดนตรีร็อคพัฒนาตัวแทรกเข้าถึงดนตรีประเภทอื่นๆ และย้อนกลับมาเป็นดนตรีร็อคของพวกเขาอย่างเต็มภาคภูมิ Blues-Rock, Folk-Rock, Country-Rock เกิดขึ้นในช่วงนี้ จากการนำของวงดนตรีอย่างเช่น The Byrds, The Cream, Led zeppelin, The Paul Butterfield Blues Band จากนั้นก็มุ่งเข้าสู่ยุค Psychedelic อย่างเต็มตัวจากเพลงของ The Beatles, Jefferson Airplane, The Grateful Dead, The Doors, Pink Floyd, Jimi Hendrix และ Janis Joplin อีกสิ่งที่สำคัญในการพัฒนาดนตรีร็อคในช่วงนี้ คือ ดนตรีโซล (Soul) จากบริษัทแผ่นเสียง Stax1 ซึ่งได้นำจังหวะเพลงที่เต็มเปี่ยมด้วยพลัง เข้ามาสู่เพลงร็อค และแนบสนิทเป็นเนื้อเดียวกันอย่างแทบไม่น่าเชื่อ


Led-Zeppelin 



The Cream 




The Rolling Stone 



The Who


Rock, Hard Rock, Heavy Metal, Soft Rock ตั้งแต่ต้นทศวรรษที่ 70 เป็นต้นมา ไม่มีใครหยุดยั้งร็อคแอนด์โรลล์ได้ มันเจริญ เติบโตด้วยตัวของมันเองส่วนหนึ่งและอีกส่วนหนึ่งเกิดจากการผสมผสานกับดนตรีรูปแบบอื่น อย่างไร้พรหมแดน แต่อย่างน้อยเราก็เห็นว่า มันมีแนวทางที่ชัดเจนอยู่ 2 อย่างคือ Hard Rock เป็นดนตรีที่หนักหน่วง และ Soft Rock เป็นร็อคที่นุ่มนวลกว่า

Hard Rock, Heavy Metal ในทางด้านดนตรีนั้น ทั้ง Heavy Metal และ Hard Rock มีความใกล้เคียง กันมาก จนแทบจะแยกกันไม่ออก โดยทั้งสองแนวนี้จะใช้เสียงในการเล่นที่ดัง เครื่องดนตรีส่วนใหญ่ จะเป็นกีตาร์ เบส และกลอง บวกกับเสียงร้อง ที่ต้องใช้พลัง มีสิ่งหนึ่งที่พอจะแยกความแตกต่างระหว่าง Heavy Metal กับ Hard Rock คือ ดนตรีในแบบ Hard Rock นั้น จะมีเสียงของดนตรีบลูส์ และร็อคแอนด์โรลล์ ปะปนอยู่ แต่ใน Heavy Metal นั้นมีน้อยมากวง Hard Rock ยุคแรกเริ่มและยังโด่งดังจนเป็นตำนานจนถึงวันนี้นั้นก็คือวง AC/DC นั้นเองซึ่งต้องยอมรับว่ารักษาแนวเพลงของตัวเองได้ดีมากทีเดียวถึงแม้จริงๆพวกเขาจะชอบให้เรียกตัวเองว่า rock n'roll band ซะมากกว่าก็เถอะ


AC/DC 


ในช่วงต้นยุคทศวรรษ 70 นั้น Heavy Metal ซึ่งได้เติบโตมาจาก Hard Rock ก็เจริญงอกงามและได้วางรากฐานของตัวมันเอง ด้วยการเล่นที่ดุดัน หนักหน่วง ร้อนแรง ผู้ฟังส่วนใหญ่เป็นวัยหนุ่มสาว ที่ต้องกาารสื่อสารกับคนภายนอก แสดงออกชัดอย่างโจ่งแจ้งทางอารมณ์และความคิด สิ่งเหล่านี้ถือว่าเป็นสิ่งแปลกใหม่ และแหวกขนบธรรมเนียมของสังคม ที่ผ่านมานั้นมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ทั้งแง่บวกและ แง่ลบกันอยู่เสมอเกี่ยวกับดนตรี Heavy Metal หากแต่ดนตรีประเภทนี้ก็ยังมี การพัฒนาต่อเนื่องและเป็นที่ยอมรับ มาเรื่อยๆ อย่างเช่นวง Kiss และ Judas Priest ที่ถือว่าเป็นวง Heavy Metal วงแรกๆ

Judas Priest 




Kiss 



ตั้งแต่ 1970 เป็นต้นมา ดนตรี Hard Rock และ Heavy Metal ได้ แตกแขนงออกไปจนมีลักษณะเฉพาะของตัวเองแยกออกไปเป็นชื่อต่างๆ ที่เรียกตาม ลักษณะดนตรี บางครั้งแบ่งตามลักษณะของการแต่งตัว แบ่งตามลักษณะของเนื้อหา ซึ่งมีชื่อเรียกแตกต่างกันได้แก่ Glam Rock, Arena Rock, Boogie Rock, Pop- Metal, British Metal, Thrash, Neo-Classic Metal, Speed Metal, Death Metal, Guitar Virtuoso, Progressive Metal, Punk Rock, Rap Rock. Soft Rock
Soft Rock เกิดขึ้นอย่างชัดเจนในตอนต้นของปี 1970 มีลักษณะเพลงที่เรียบง่าย ทำนองรื่นหู มีความสวยงาม อ่อนโยน และเป็นที่ชื่นชอบของผู้ฟังทั่วไป ศิลปินที่ มีชื่อเสียงและทำให้คนยอมรับเพลงเหล่านี้ ได้แก่ The Carpenters, Bread, Carole King, The Eagles, Elton John และ Chicago ซึ่งสร้างผลงาน ดนตรีที่มีความเรียบง่ายหากแต่มีความไพเราะและกลายเป็นบทเพลงที่ยิ่งใหญ่ในเวลาต่อมา กลายเป็นจุดเริ่มต้นของงาน ที่ให้ความสำคัญกับความอ่อนหวานในบทเพลง ตลอดทศวรรษที่ 70 ดนตรีร็อคได้มีการพัฒนาและแตกแขนงกลายเป็นดนตรีอีกหลาย แนว โดยมีชื่อเรียกต่างกันออกไป ได้แก Pop Rock, Pop Dance, Dance, Easy Listening, Folk Rock, Jazz Rock , Disco และอื่นๆ


ขอบคุณข้อมูลหลักๆจาก คุณ EM MonkiezzUD. 









วันพุธที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2555

Robert Johnson(โรเบิร์ด จอนสัน) ขุนกีตาร์บลู



โรเบิร์ต จอห์นสัน (Robert Johnson) อภิมหาอมตะนิรันดร์กาลแห่งขุนกีตาร์ blues จากลุ่มแม่น้ำ Mississippi








หลายท่านที่ชื่นชอบดนตรีบูลส์ แน่นอนว่าไม่มีใครไม่เคยได้ยินชื่อเสียงของนักดนตรีผิวสี โรเบิร์ต จอห์นสัน (Robert Johnson)ผู้ที่วงการดนตรีบูลส์ต่างรำลือว่า เขาขายวิญญาณ... ให้กับ...ซาตาน เพื่อแลกกับฝีมืออันสุดยอดของเขา จะจริงจะเท็จอันใดคงไม่มีใครที่จะพิสูจน์คำรำลือเหล่านั้นได้ แต่ฝีมืออันยอดเยี่ยมของเขาได้เกิดขึ้นแล้ว และเกิดขึ้นในระยะเวลาอันสั้น เฉกเช่นเดียวกับลมหายใจของเขาที่ได้มีโอกาสสัมผัสกับดนตรีบูลส์ของเขา กับความสำเร็จที่เขาอาจจะไม่เคยรู้มาก่อนว่า การขายวิญญาณให้กับซาตานในครั้งนั้น จะทำให้โลกแห่งเสียงดนตรีบูลส์จะยังจดจำเขาได้อย่างไม่ลืมเลือน ซ้ำยังเป็นต้นแบบและตำนานให้ผู้คนได้ขับเรื่องราว และบทเพลง...ของเขา

โรเบิร์ต จอห์นสัน (Robert Johnson) เป็นที่เลื่องลือมานานแล้ว ความลึกลับที่เขาเล่นกีต้าร์บูลส์ได้ดียิ่งกว่ามืออาชีพ ภายในระยะเวลาไม่กี่เดือน ทำให้เขากลายเป็นผู้ลบล้างทฤษฎีที่ว่า การฝึกฝนเพื่อที่จะร้องและเล่นกีต้าร์บูลส์ให้ได้ยอดเยี่ยมจำเป็นต้องอาศัย กระบวนการและเวลายาวนาน ถูกโยนทิ้งตกไปจากความเชื่อของใครหลายคนที่รู้จักเรื่องราวของเขา
โรเบิร์ต จอห์นสัน (Robert Johnson) เกิดวันที่ 8 พฤษภาคม 2454 (1911) ใน Mississippi, U.S. และได้บันทึกผลงานในช่วงปี 1936-1937

รวมผลงานเพลงจำนวน 29 เพลงอันเป็นสุดยอดของบทเพลงบูลส์ ซึ่งนักดนตรีรุ่นหลังๆ ต้องฟังและนำไปเป็นแรงบันดาลใจหรือต้นแบบ ไม่ว่าจะเป็นดนตรีในแนว Rock, Folk ต่างก็ได้แรงบันดาลใจจาก Robert Johnson เช่น John Fogerty, Bob Dylan, Johnny Winter,Jimi Hendrix, TheYardbirds, Led Zeppelin, The Allman Brothers Band, The Rolling Stones, Paul Butterfield, The Black Keys,The Band, Neil Young, Warren Zevon, Jimmy Page, Jeff Beck, and Eric Clapton ผู้ซึ่งมีความศรัทธาในตัวของ Robert Johnson
ความไม่ธรรมดาของ Robert Johnson นั้นช่างล้ำลึกด้วยสำเนียงโศกละมุนหู ที่หากไม่ทราบมาก่อน ผู้ฟังอาจนึกไปว่าเขาเล่นกีตาร์กันสองตัวพร้อมกัน (ความจริงปู่ Johnson เขาร้องและเล่นเองหมดทุกอย่าง สดๆ รวดเดียว ไม่มีอัดซ้ำ) แถมตอนบันทึกเสียง ว่ากันว่าเขาหันหน้าเข้าฝาผนังเล่นอีกต่างหาก ส่วนประวัติของเขาลึกลับยิ่งกว่าตำนานปรัมปรา นอกเหนือจากลีลากีตาร์โปร่งสำเนียงบลูส์โหยหวน เคล้าเสียงเป่าหีบเพลงเศร้าสนิทใจแล้ว การจากไปในวัยเพียง 27 ปีของเขายังมีที่มาที่ไปน่าฉงน

ผู้เฒ่าเล่าขานกันว่า เมื่อ Robert Johnson ยังเป็นหนุ่มน้อย อาศัยอยู่ในโรงเก็บนุ่นชนบทใน Mississippi เขารักที่จะเล่นกีตาร์มาก แต่ฝีมือไม่โดดเด่น วันหนึ่งมีคนมาบอกให้เขาเอากีตาร์ไปยืนที่สี่แยกใกล้ๆ โรงงานชื่อ Dockery ตอนเที่ยงคืน ที่นั่นเวลานั้นเขาจะได้พบกับปิศาจ ผู้ที่จะนำกีตาร์ของเขาไปปรับให้เล่นเพลงออกมาอย่างไรก็ได้ตามใจปรารถนา แต่มีข้อแม้ว่าเขาต้องมอบวิญญาณให้กับปิศาจไป ตำนานไม่ได้กล่าวไว้ว่าเขาไปหรือไม่ เพราะไม่มีใครเห็น แต่ผ่านไปไม่ถึงปี เขากลับมาพร้อมลีลาร้อง เล่น แต่ง ดนตรีบลูส์ได้ชนิดหาที่ติไม่เจอ พร้อมกับขับขานเสียงเพลงบลูส์ที่ไพเราะที่สุด เท่าที่มีคนเคยได้ยินมา






ไม่นานนักในปี 1936 เขาก็ได้ไปนั่งอัดเสียงในห้องอัด ณ San Antonio, Texas เพลงแล้วเพลงเล่าถูกขับขานร้องเล่นออกมาไม่ขาดสาย ดั่งสายธารแห่งความเศร้าที่หลั่งไหลจากสามเหลี่ยมแม่น้ำ Missisippi สู่ท้องทะเลแห่งความโศก แต่ไม่มีใครทราบหรอกว่า ทุกสิ่งที่เขาบันทึกลงไปในวันนั้นกลายเป็นตำนานแห่งดนตรีบลูส์ไปตราบนานชั่ว นาน เพราะเขาเสียชีวิตไปไม่นานหลังจากได้บันทึกเสียงไปสองครา เพลงยังถูกปล่อยออกมาไม่หมด ความดังยังอยู่ระดับท้องถิ่นเท่านั้น ว่ากันว่าเมื่อเขาได้สร้างตำนานดนตรีขึ้นมาเสร็จสรรพ ปิศาจก็ได้มาทวงวิญญาณตามสัญญา
แต่ความยิ่งใหญ่ของเขายังไม่มาทันที จนเมื่อยุค 60's หลังจากที่เขาจากไปยี่สิบกว่าปี จึงมีคนนำบทเพลงของเขามาอัดลงแผ่นเสียงขาย ซึ่งระยะนั้นเป็นช่วงที่นักดนตรีมีชื่อในปัจจุบันกำลังเริ่มเล่นดนตรีพอดี และดนตรีของ Robert Johnson นี่เองที่เปรียบเสมือนปรมาจารย์ให้เหล่ามือกีตาร์หัวใจบลูส์ จากนั้นมาเพลงทั้งหมดเท่าที่มีของ Johnson ก็ถูกนำออกมา remaster แล้วนำออกมาตีแผ่ในวงกว้างให้ผู้คนได้ประจักษ์หูกันทั่วปฐพี
ซึ่งแม้แต่ในปัจจุบันเองก็ยังไม่มีทราบสาเหตุการตายที่แน่ชัดของเขา ราวกับว่าเขาหายไปจากโลกใบนี้อย่างไม่มีร่องรอย หรือเขาจะถูกซาตานมาพรากชีวิตไป

เริ่มต้นเรื่องราวจากปากคำของผู้เฒ่าแห่งดนตรีบลูส์ ว่า Robert Johnson ในวัยรุ่นเล่นกีตาร์ได้ไม่ดีนัก สิ่งที่เขาเชี่ยวชาญคือฮาโมนิก้า เพื่อนบ้านที่สำคัญของเขา 2 คน คือนักดนตรีบลูส์รุ่นใหญ่ Willie Brown และ Son House แนะนำให้เขามุ่งมั่นกับฮาโมนิก้าจะดีกว่า เพราสิ่งที่เขาแสดงออกเกี่ยวกับกีตาร์นั้นเป็นเรื่อง พื้นๆ แถมยังดูออกด้วยว่าไม่มีทางไปไหนได้ไกลหากยังดันทุรังอยู่กับกีตาร์ต่อไป

แล้ว Robert ก็กลับมาหลังจากที่หายไป 40 วันอย่างที่ไม่มีใครได้รับข่าวใดๆทั้งสิ้น เขาปรากฎตัวที่บาร์เล็ก ที่ที่ซึ่ง Willie Brown และ Son House เล่นประจำอยู่ โดยมีกีตาร์สะพายอยู่บนไหล่ เขาได้ขึ้นโชว์ 2-3 เพลง มันกลายเป็นความตื่นตะหนกแก่ผู้เฒ่าทั้งสอง



บทเพลงอันยอดเยี่ยมของ Robert Johnson:
Robert Johnson ได้บันทึกบทเพลงของเขาไว้ 29 เพลง ในปลายปี 1936 - 1937

"32-20 Blues"
"Come on in My Kitchen" (two versions)
"Cross Road Blues" (two versions)
"Dead Shrimp Blues"
"Drunken Hearted Man" (two versions)
"From Four Till Late"
"Hellhound on My Trail" (see also: Hellhound)
"Honeymoon Blues"
"I'm a Steady Rollin' Man"
"I Believe I'll Dust My Broom" (บางครั้งเรียกว่า "I Believe My Time Ain't Long")
"If I Had Possession over Judgment Day"
"Kind Hearted Woman Blues" (two versions)
"Last Fair Deal Gone Down"
"Little Queen of Spades" (two versions)
"Love in Vain" (two versions)
"Malted Milk"
"Me and the Devil Blues" (two versions)
"Milk Cow's Calf Blues" (two versions)
"Phonograph Blues" (two versions)
"Preachin' Blues (Up Jumped The Devil)"
"Rambling on My Mind" (two versions)
"Stones in My Passway"
"Stop Breakin' Down Blues" (two versions)
"Sweet Home Chicago"
"Terraplane Blues"
"They're Red Hot"
"Traveling Riverside Blues" (two versions)
"Walkin' Blues""When You Got a Good Friend" (two versions)

Blues(บลูส์)




ซึ่งเป็นดนตรีที่คงรูปแบบเดิม ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เป็นรูปแบบของดนตรีประเภทหนึ่ง เกิดจากสภาพชีวิตและความเป็นอยู่ของคนดำที่หลั่งไหลเข้าสู่สหรัฐอเมริกาเพื่อการเป็นทาส สภาพชีวิตที่คับแค้นของพวกเขาได้ถูกนำเสนอผ่านบทเพลงด้วยการร้อง หรือสวดอ้อนวอนในทางศาสนาที่ เป็นท่วงทำนองที่น่าเศร้าการร้องแบบนี้เกรียกว่า"ฮอลเลอร์"(Hollers) และเอกลักษณ์ของการร้องและท่วงทำนองที่เกิดจากเครื่องดนตรีที่ไม่มีคุณภาพจากความแร้นแค้น และความรู้ในด้านทฤษฎีดนตรีที่ผิดเพี้ยนไปจากเดิม ทำให้มีเสียงหรือคอร์ดความเพี้ยนซึ่งต่อมาก็ได้สร้างความแปลกหู จนเป็นลักษณะและเอกลักษณ์เพลงบลูส์เป็นเพลงที่ร้องไปกับการเล่นดนตรี แสดงออกถึงอารมณ์ นักร้องเพลงบลูส์นั้นไม่ต้องเอาตัวเองเข้าไปอยู่ในอารมณ์ของคนอื่น แต่จะร้องออกมาเป็นอารมณ์ของตัวเอง เมื่อความโศกเศร้าต่างๆ ได้ผ่านไปแล้วก็สามารถที่จะร้องเพื่อความเพลิดเพลินของตัวเองหรือเพื่อนพ้องได้ ลีลาและน้ำเสียงของบลูส์นั้นเต็มไปด้วยความล้ำลึกที่มาจากความปวดร้าวภายในที่แอบซ่อนอยู่ บอกกล่าวต่อผู้ฟังอย่างเศร้าสร้อยและโหยหวน ลักษณะเด่นอีกอย่างของดนตรีบลูส์คือ เป็นเพลงที่เกี่ยวข้องกับเรื่องส่วนตัวนักร้องอย่างแท้จริงนักร้องเพลงบลูส์จะสามารถร้องเพลงที่เกี่ยวกับตัวเองเสมอ

โรเบิร์ด จอนสัน(Robert Johnson)

B.B.KING(Blues boy king)

จอร์น ลี ฮูกเกอร์(John lee hooker)